วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ศาลปะกำ

ศาลปะกำ

 เป็นเสมือนที่สิงสถิตของวิญญาณบรรพบุรุษ และผีปะกำ ตามความเชื่อของชาวกูย นิยมปลูกสร้างไว้ในชุมชนคุ้มบ้าน หรือที่บ้านของทายาท ฝ่ายบิดา มีลักษณะเป็นเรือนไม้ คล้ายหอสูง มีเสาสี่ต้น หันหน้าไปทางทิศเหนือ ณ ตำแหน่ง ที่เงาบ้านไม่ตกทับตัวศาลและเงาศาลไม่ตกต้องตัวบ้าน ศาลปะกำใช้เป็นที่เก็บรักษาหนังปะกำ เพื่อความเป็น สิริมงคล และเสี่ยงทายผลที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินกิจกรรมนั้นๆ

การเซ่นผีปะกำ จะกระทำโดยหมอช้างอาวุโส เจ้าของบ้านและญาติ พี่น้อง นำของเซ่นไหว้ ไปยังศาลปะกำ จุดเทียนแล้ว อัญเชิญผีปะกำ และวิญญาณบรรพบุรุษรับเครื่องเซ่นไหว้ พร้อมกับขอพรเพื่อให้มีโชคลาภในกิจการ นั้นๆ ในการเซ่น ผีปะกำ บุคคลอื่นห้ามขึ้นโดยเด็ดขาด และโดยเฉพาะสตรีห้ามแตะ ต้อง หนังปะกำ เด็ดขาดดังนั้น ผู้เข้าร่วม พิธีจึงต้องนั่งอยู่ที่พื้น ล้อมรอบศาลปะกำ

   

ตามปกติชาวกวยเลี้ยงช้างจะทำ พิธีไหว้ศาลปะกำประจำตระกูลทุกปี  ก่อนออกคล้องช้าง  บรรดาหมอและควาญช้าง จะนำอุปกรณ์เครื่องจับช้าง พร้อมเสบียงทั้งหมดออกจากบ้านไปยังจุดนัดพบโดยพร้อมเพรียงกัน  ทุกคนต้องอยู่กรรมเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน ไม่กลับเข้าบ้านอีก  ซึ่งจะมีการเซ่นไหว้ผีปะกำและต้องปฏิบัติตามข้อห้ามอย่างเคร่งครัด  ทบทวนข้อปฏิบัติไม่ให้ตกหล่นด้วยภาษาผี (ภาษาผีปะกำ เป็นภาษาที่หมอและควาญช้างพูดกันขณะอยู่ป่า)  ตรวจสอบตำแหน่งของแต่ละคนให้ถูกต้อง  เวลาทุกคนจะกราบไหว้ระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และนอนหันหัวไปทางครูบาหรือ ปะกำหลวง  ถ้าหมอช้างคนใดหมดความอดทน หรือไม่แน่ใจว่าตนจะแคล้วคลาดขณะอยู่ป่าจะถอนตัวก็ได้  สถานที่ที่ชาวกูยสุรินทร์ใช้ประกอบพิธีสำคัญนี้ คือ บริเวณศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนปัจจุบัน

เวลาเซ่นไหว้  บรรดาหมอและควาญช้างจะนำหนังปะกำมาวางกองรวมกันเป็น 3 กอง คือ หนังปะกำของครูบาอยู่ตรงกลาง เรียกว่า ปะกำหลวง  กองปะกำสดำอยู่ทางขวา  ของหมอเสดียงอยู่ทางซ้าย  แล้วจัดวางเครื่องเซ่นประกอบ  ครูบาหรือปะกำหลวงก็จะเริ่มพิธีเซ่นไหว้   และมีการอธิษฐานเสี่ยงทายโดยใช้คางไก่  เมื่อเดินทางถึงชายป่าก็จะมีพิธี "เบิกไพร"  เป็นพิธีเปิดป่า  หมอเฒ่าบางท่านเล่าว่า  หากเซ่นไม่ดีพลีไม่ถูก  ป่าจะไม่เปิด  ลักษณะป่าปิด คือ อากาศมืดครึ้ม  ฝนตกหนัก  ไม่มีแสงอาทิตย์  ไม่เห็นสัตว์ป่า  ไม่พบรอยเท้าสัตว์  จำทิศทางไม่ได้  พิธีนี้เป็นการของอนุญาตเจ้าป่าเจ้าเขาและขอช้างตัวงาม ๆ

 

เมื่อเดินทางเข้าป่าลึกพอสมควร  ครูบาจะเลือกชัยภูมิที่เหมาะสม  มีน้ำหญ้าอุดมสมบูรณ์เป็นที่ตั้งค่าย  โดยปลูกเป็นปะรำหรือเพิง  มีความแข็งแรงพอสมควร  แต่ละคนอยู่ในทิศทางและทำพิธีที่ถูกต้องตามตำราคชศาสตร์  ก่อกองไฟขึ้น 3 กอง  เป็นกองไฟศักดิ์สิทธิ์  กองตรงกลางเรียก กำพ้วดเจิง  เป็นกองไฟของครูบา  กองทางซ้ายเรียก กำพ้วดเสดียง  เป็นกองไฟของหมอเสดียง

 

นอกจากนี้ยังมีพิธี ปะสะ  เป็นพิธีล้างมลทินหรือล้างบาป  ในกรณีผู้ประพฤติละเมิดข้อห้ามก่อนได้ฤกษ์จับช้าง  โดยครูบาจะเป็นผู้ประกอบพิธีแก่ผู้ทำผิด  โดยมีเครื่องสะเดาะเคราะห์และต้องเสียเงินค่าปรับ  หากหมอหรือควาญทำผิดข้อละเมิดข้อใดข้อหนึ่ง จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมในการจับช้างเป็นอันขาด  เว้นเสียแต่จะได้รับการล้างมลทินแล้ว


    

ชนชาว กวย กูย


ชาวกูย อพยพเข้าประเทศไทย ครั้งใหญ่ในสมัยปลายอยุธยา (พ.ศ.๒๒๔๕-๒๓๒๖) ชาวกูยมีถิ่นเดิมอยู่บริเวณตอนเหนือของเมืองกำปงธม ประเทศกัมพูชา ชาวกูย เคยเป็นรัฐอิสระ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เคยส่งทูตมาค้าขายกับอยุธยาและเคยช่วยกษัตริย์ เขมรปราบขบถ ต่อมาเขมรได้ใช้อำนาจทางทหารปราบชาวกูย และผนวกอาณาจักรเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเขมร ชาวกูยชอบการอพยพ เพื่อแสวงหาที่ดินอุดมสมบูรณ์ในการเพาะปลูก ชาวกูยอพยพขึ้นเหนือเข้าสู่เมืองอัตตะบือ-แสนแป จำปาศักดิ์ และสาละวัน ทางตอนใต้ของลาวและอพยพข้ามลำน้ำโขงเข้าสู่ภาคอีสาน ทางด้าน แก่งสะพือ อ.โขงเจียม หลังจากนั้นลูกหลานชาวกูยแยกย้ายกันไปตั้งบ้านเรือน ชาวกูยที่อพยพมา มีหัวหน้าของตัวเอง คนไทยเรียกชาวกูยว่า เขมรป่าดง แต่ ชาวกูยเรียกเรียกตัวองว่ากุย หรือ โกย ซึ่งแปลว่า คนส่วนคำว่า "ส่วย" นั้น ชาวกูยเองไม่ค่อยยอมรับชื่อนี้ ปัจจุบันพบชาวกูยในจังหวัดบุรีรัมย์ อุบลราชธานี นครราชสีมา มหาสารคาม สุรินทร์ ศรีสะเกษและ สุพรรณบุรี)ส่วนใหญ่ชาวกูยในประเทศไทย ตั้งถิ่นฐานปนอยู่กับชาวเขมรสูง และชาวลาวทำให้ชาวกูยถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม เขมรสูงและลาว บ้านของชาวกูยมีลักษณะใต้ถุนสูงด้านหน้าเอาไว้เลี้ยงช้าง ใต้ถุนใช้เป็นที่วางหูก ทอผ้าวางกระด้งไหม และวัสดุเครื่องใช้สานด้วยหวายหรือไม้ไผ่ ชาวกูยบางบ้านจะแบ่งส่วนหนึ่งที่ติดตัวบ้านเป็นยุ้งข้าว บางบ้านสร้างแยกต่างหาก

ชุมชนกูย เป็นชุมชนที่มีขีดความสามารถพึ่งตัวเองในทางเศรษฐกิจ คือ มีความสามารถในการพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจที่ได้จากป่า และทำการผลิตเพื่ออยู่เพื่อกินในครัวเรือน ยังมีความสามารถในการพัฒนา เทคโนโลยีทางการผลิตเพี่อการดำรงชีวิตประจำวัน มีการจัดระเบียบทางการปกครองในชุมชนอย่างมีศักดิ์ศรี  ผู้มีอาวุโสที่สุดเป็นผู้มีบทบาทต่อการตัดสินผิดถูกในชุมชน ซึ่งชาวกูย เรียกว่า โขด ชาวกูยนิยมเลี้ยงช้าง ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ชาวกูยจะออกไปจับช้างในป่าด้วยการคล้องช้าง เรียกว่า โพนช้างเป็นการจับช้างโดยหมอช้าง ใช้บ่วงมาศที่เรียกว่าเชือกปะกำ" ทำจากหนังควายถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์คล้องเท้า ช้างแล้วผูกกับต้นไม้ และนำมาฝึกใช้งานในการคล้องช้างกระทำปีละครั้ง ราวเดือน  ๑๑-๑๒ ช้างที่ตายลงจะมีการฝังอย่างดีและจะขุดกระดูกขึ้นมา ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้และในชาวกูยจับช้าง(กูยตำเหร็ย) มีระบบระเบียบพิธีกรรมก่อนออกไปจับช้างอย่างเคร่งครัดโดยมีการตกลงมอบหมายอำนาจให้แต่ละคนกระทำเหนือกลุ่มหรือคณะดังนี้ 

มะหรือจา มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยควาญ เป็นผู้ถือท้ายหรือผู้ที่ช้างต่อ 

หมอสะเดียง เป็นผู้ชำนาญในการควบคุมช้าง มีประสบการณ์ในการจับช้างป่า จะขี่ช้างอยู่ตรงคอ

หมอสะดำ ทำหน้าที่ควาญ เรียกว่า ควาญเบื้องขวา มีฐานะสูงกว่าสะเดียงสะดำต้องมีประสบ การณ์เคยออกจับช้างป่า มาแล้วอย่างน้อย ๑๑ เชือกขึ้นไป บางทีเรียกว่าหมอใหญ่

ครูบา เป็นหมอช้างใหญ่ เป็นหัวหน้าในกลุ่มย่อยหรือหมู่ช้างต่อจะออกจับช้างป่าได้ เมื่อได้รับอนุญาตจากครูบาใหญ่  บางครั้งครูบาออกจับช้างได้ตามลำพัง 

ครูบาใหญ่ เป็นหมอช้างใหญ่ หรือประกำหลวง หรือ หมอเฒ่า เป็นผู้อำนายการออกจับช้างแต่ละครั้ง เป็นประธานในพิธีเซ่นผีประกำ และประกอบพิธีกรรมทั้งหลายทั้งปวง ในขณะเดินป่าก็จะเป็นผู้ชี้ขาด และตัดสินใจ ขณะกระทำการจับช้างป่ามีกฤตาคมสูง สามารถป้องกันภัยทั้งจากภูตผี และสัตว์ป่าด้วยเวทมนต์ ในการออกจับช้างป่าแต่ละครั้ง ครูบาใหญ่จะต้องแสดงความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่

 

 

ชาวกูยมีการนับถือผีและศาสนาพุทธผสมกัน ภายในชุมชนมีทั้งวัดและศาลผีประจำหมู่บ้าน ผีบรรพบุรุษเรียกว่า ญะจัวะฮ บนบ้านจะมีหิ้งบูชา ผีบรรพบุรุษ บางบ้านสร้างศาลไว้ใกล้ศาลเจ้าที่ ในการเซ่นผีกระทำปีละครั้ง เริ่มพิธีโดยมี ข้าวสุก เหล้า เนื้อสัตว์ กรวยใบตอง ผ้า สตางค์ หมากพลู เอามาวางไว้ใต้หิ้งบูชา ทำพิธีเซ่นโดยเอาน้ำตาลโรยบนข้าวสุก จุดเทียนปักลงที่ข้าวแล้วกล่าวขอให้ผีบรรพบุรุษคุ้มครอง ขณะที่กล่าวค่อยๆ รินเหล้าลงขัน แล้วหยิบของที่ใช้เซ่นวางบนหิ้งที่เหลือนำมารับประทาน การเซ่นผีอาจจัดขึ้นในวาระอื่น ๆ เช่น เมื่อมีเด็กคลอด หรือ เมื่อมีแขกมาเยือนและพักอาศัยอยู่ที่บ้าน นอกจากนั้นชาวกูยยังนับถือวิญญาณได้แก่ภูติผีปีศาจ เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา ผีปอบ และเรื่องขวัญ ในหมู่บ้านจะมีแม่เฒ่าทำหน้าที่ดูแลความเจ็บไข้ชาวกูยเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดจากการกระทำของผีจึงมีการอ้อนวอนให้ผีพอใจ โดยมีการรำแกลมอ หรือผีมอ ผู้ที่จะรำผีมอต้องผ่านพิธีไหว้ครู ครอบครูชาวกูยยังมีพิธีไหว้พระแข สันนิษฐานกันว่าเป็นพิธีที่ได้จากเขมร พิธีนี้เป็นพิธีเสี่ยงทายเพื่อดูปริมาณน้ำฝนที่จะตกในเดือนต่างๆ ที่เป็นฤดูทำนาในปี

การแต่งกายของชาวกูย หญิงสูงอายุจะนุ่งผ้าที่มีลายใส่เสื้อคอกระเช้า ใส่สร้อยคอลูกปัดเงิน นิยมใส่ดอกไม้หอมไว้ที่ติ่งหู ชาวกูยนิยมทอผ้า เช่น ผ้าจิกกะน้อย เป็นผ้าที่มีลักษณะคล้ายผ้าหางกระรอกมีสีเดียวเป็นผ้าสำหรับผู้ชายนุ่งในพิธีสำคัญๆ ลักษณะการนุ่งจะนุ่งพับจีบด้านหน้า เหมือนการนุ่งโสร่ง ผ้านุ่งสตรีนิยมทอหมี่คั่นเป็นทางแนวดิ่งยืนพื้นสีน้ำตาล มีหัวซิ่นพื้นสีแดงลายขิด ตีนซิ่นสีดำมีริ้วขาวเหลืองแด งผ้าจะกวีเป็นผ้าคล้ายอันลูซีม ของเขมรมีลายทางยาวเป็น ผ้าที่สตรีใช้นุ่งในงานสำคัญๆ 

ในอดีตอีสานใต้เป็นดินแดนอิสระอย่างเอกราช ส่งผลไห้ชาวกูย หรือ ข่า ในแขวงเมืองอัตตปือจำปาศักดิ์ และสาละวัน ประเทศลาว เข้ามาตั้งหลักแหล่งทำมาหากินที่ดินแดนแถบอีสานใต้ จนกระทั้งมีชุมชนกูย ได้ปรากฏชัดขึ้นและทำการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในอีสานใต้ (เขมรป่าดง) ซึ่งขณะนั้นอำนาจการปกครองของเมืองพิมายได้เข้าสู่พื้นที่เขตเขมรป่าดง แต่ทำการปกครองหัวเมืองในอีสานได้อย่างหลวมๆ

รัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ (พ.ศ.๒๓๐๑-๒๓๑๐) และในปี ๒๓๐๒ พระยาช้างเผือกแตกโรงออกจากกรุงออกไปอยู่ในป่าดงทางตะวันตกแขวงเมืองจำปาศักดิ์ มีผู้นำชาวกูย ๕ คน ให้ความช่วยเหลือข้าหลวงจากอยุธยา ในการติดตามเอาตัวช้างเผือกกลับคืนเมืองหลวงได้ จึงได้รับการตอบแทนความดีความชอบจึงได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุคคลดังกล่าว คือให้ ตากะจะ เป็นหลวงสุวรรณ เชียงขัน เป็นหลวงปราบ เชียงฆะ เป็นหลวงเพชร  เชียงปุ่ม เป็นหลวงสุรินทรภักดี เชียงลี เป็นหลวงศรีนครเตา

 ผู้นำชาวกูยได้ทำราชการขึ้นอยู่กับเมืองพิมาย มีบทบาทสำคัญ ได้แก่ นำช้าง, ม้า,แก่นสน,ยางสน,ปีกนก,นอรมาด,งาช้าง, ขี้ผึ้ง สิ่งของดังกล่าวเรียกว่า “ส่วย โดยนำไปส่ง ณ กรุงศรีอยุธยา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ในเวลาต่อมาโดยตั้งให้ หลวงสุวรรณ (ตากะจะ) เป็นพระไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมือง ยกบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน เป็นเมืองขุขันธ์ ให้หลวงเพชร(เชียงฆะ) เป็นพระสังฆะบุรีศรีนครวัด เจ้าเมืองบ้านโคกอัดจะ (บ้านดงยาง) เป็นบ้านสังฆะ ให้หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุ่ม) เป็นพระสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง เจ้าเมือง ตั้งบ้านคูประทายสมัน (คือเมืองสุรินทร์) ให้หลวงศรีนครเตา (เชียงสี หรือ ตาพ่อควาน) เป็นพระศรีนครเตาเจ้าเมือง ยกบ้านกุดหวาย (หรือบ้านเมืองเตา) เป็นเมืองรัตนบุรี ขึ้นกับเมืองพิมาย

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ(พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๕๒)  ก่อนนี้เป็นสมัยกรุงธนบุรี คือ พ.ศ.๒๓๑๙ เมืองจำปาศักดิ์ เกิดวิวาทกับพระวอ  ซึ่งอยู่ที่ดอนมดแดง (ใน จ.อุบลราชธานี ปัจจุบัน) เจ้ากรุงศรีรัตนาคนหุตเวียงจันทร์ โปรดให้พระยาสุโพ คุมกองทัพมาตี พระวอสู้ไม่ได้ และได้จับพระวอฆ่าเสีย ฝ่ายท้าวก่ำ บุตรพระวอ กับท้าวฝ่ายหน้า ท้าวคำผง และท้าวทิดพรหม หนีออกมาได้ จึงให้คนถือหนังสือไปกรุงธนบุรี ได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก เป็นแม่ทัพไปสมทบกับกำลังที่เกณฑ์จากเมืองสุรินทร์ ขุขันธ์ และเมืองสังฆะ ซึ่งเป็นผู้นำชาวกูย ตามตีกองทัพของพระยาสุโพ กองทัพไทยตีเมืองต่างๆ ในแถบลุ่มแม่น้ำโขงได้ทั้งหมด อาณาจักรเวียงจันทร์ และนครจำปาศักด์ จึงตกเป็นเมืองขึ้นของไทยตั้งแต่นั้นมา ในปีเดียวกันนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าเมืองสุรินทร์ เจ้าเมืองขุขันธ์ และเมืองสังฆะ เป็นตำแหน่ง “พระยา ทางเมืองเขมรนั้นกองทัพไทย ได้ยกไปตีเมืองเสียมราช กำปงสวาย เมืองบรรทายเพชร เมืองบรรทายมาศ และเมืองรูงตำแร็ย เมืองเหล่านี้ต้องยอมแพ้ต่อกองทัพไทย จากการชนะสงครามดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้มีกลุ่มชนชาวลาว และชาวเขมรเข้ามาอยู่อาศัย ในชุมชนกูย และมีความเจริญทางวัฒนธรรมสูงกว่าพวกกูย จึงถูกวัฒนธรรมเขมรกลืนไป เช่น เมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ  และเมืองขุขันธ์ ส่วนที่เมืองกุดหวาย (รัตนบุรี) อุบลราชธานี และศรีษะเกษได้มีการปรับเปลี่ยนไปทางวัฒนธรรมลาวไปแทบทั้งสิ้น

ในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓ ให้กลุ่มชาวกูย เป็นข้าไพร่แผ่นดินสยาม ได้ถูกเกณฑ์แรงงานและจัดส่งส่วย ให้แก่ทางราชการอยู่โดยตลอด ในสมัยต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ การเกณฑ์แรงงานกูยในเขตอีสานใต้ (เขมรป่าดง) เริ่มประสบความยุ่งยากเพราะหนุ่มฉกรรจ์ชาวกูย มักหลบหนีการเกณฑ์ บางครั้งถึงกับซุ่มโจมตีทำร้ายเจ้าพนักงาน แล้วหนีเข้าป่า และมีชาวกูยได้ก่อการกบฏขึ้น ดังเช่นกบฏเชียงแก้ว พ.ศ. ๒๓๓๔ ได้เกิดเหตุในแขวงเขตจำปาศักดิ์ และในเขตหัวเมืองต่างๆ ในอุบลราชธานี กบฏสาเกียดโง้งพ.ศ.๒๓๖๓ เป็นกบฏของข่า ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ลาวใต้ และบริเวณอีสานใต้  ทางกรุงเทพฯ ได้ให้เจ้าอนุวงศ์ ผู้ครองเวียงจันทร์ ยกทัพไปปราบ และได้จับสาเกียดโง้ง และชาวข่า(กูย) พร้อมทั้งครอบครัวจำนวนมากส่งมากรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้จำสาเกียดโง้งไว้ตลอดชีวิต ส่วนครอบครัวกูยโปรดให้เป็นตะพุ่นหญ้าช้าง ตั้งบ้านเรือนที่บางบอนธนบุรี กูยเคยมีจำนวนถึง ๓๐๐,๐๐๐ คน ถูกลดจำนวนลงเหลือเพียงไม่กี่พัน เมื่อรัฐไทยได้เข้าไปทำการจัดเก็บภาษีในบริเวณอีสานใต้ โดยมีการพัฒนาจัดเก็บภาษีเป็นควาย ซึ่งนอกเหนือจากภาษีของคนป่า เพื่อนำส่งไปยังกรุงเทพฯ เช่นปี พ.ศ.๒๔๐๒ ที่เมืองสุรินทร์ ให้จัดส่งควาย ๖๑ ตัว   เมืองรัตนบุรี  ๑๖๓ ตัว และกองพระยาภัคดีชุมพลเมืองสุรินทร์ ๓๒ ตัว

 การจัดเก็บได้ทวีเพิ่มความรุนแรงขึ้น เมื่อชาวกูยไม่มีสิ่งของเป็นส่วยให้กับทางราชการ  และพอถึงปลายรัชกาลที่ ๔ ก็เข้ารอบวิกฤตอีก คือ กูย ไม่มีส่วยสิ่งของส่ง จึงเอาตัวคน กูย ส่งส่วยแทน ล่วงมาถึงรัชกาลที่ ๕ ได้เกิดกบฏผีบุญขึ้นใน พ.ศ.๒๔๔๔-๒๔๔๕ มีการต่อสู้ระหว่างฝ่ายกบฎ กับฝ่ายรัฐบาลสะพือ (ปัจจุบันอยู่ใน อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี)  หัวหน้าฝ่ายกบฎคือ องค์ลูก น้องขององค์แก้ว  หัวหน้าพวกข่า(กูย) ในลาว องค์มั่น มีชาวบ้านเข้าด้วยหลายพันคน เมื่อปะทะกับกองกำลังประมาณ  ๑๐๐ คน ของกรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงสำเร็จราชการอีสานในวันที่ ๔ เม.ย. ค.ศ. ๑๙๐๒ (พ.ศ.๒๔๔๕)  ที่บ้านสะพือ

องค์มั่นก็สั่งให้พรรคพวกนั่งลง ภาวนาเอาบารมีบุญกุศลเป็นที่พึ่ง จะแคล้วคลาดจากกระสุนปืนใหญ่ ปรากฏว่าฝ่ายผู้มีบุญถูกกระสุนปืนใหญ่ตายนับร้อย ที่เหลือถูกจับ หรือแตกหนีไป เมื่อพิจารณา ถึงสาเหุตการเกิดกบฏ ถ้ามองด้านการปกครองรัฐบาลไทย ซึ่งนำเอาอย่างประเทศอาณานิคม คือ อังกฤษ ด้านวัฒนธรรมไม่เอาใจใส่ หรือไม่สนใจกับรากฐานทางวัฒนธรรม ดั้งเดิมที่ตนเข้าไปปกครอง  ขณะเดียวกันก็มีความพยายามที่จะกดดันวัฒนธรรมเดิม ให้อ่อนด้อยลงพร้อมกับการนำเอาวัฒนธรรมใหม่เข้าไปแทน   

ในแง่วัฒนธรรมทางการเมือง คือ การล้มเลิกระบบกินเมือง การเก็บภาษี  มีการเปลี่ยนเเปลง คือ การเก็บภาษีเป็นตัวเงินที่เห็นได้ชัดคือการเก็บเงินค่าราชการ แต่เดิมรัฐบาลใช้การเกณฑ์เเรงงานเเละส่วย เมื่อมีการปลดไพร่ รัฐบาลเองก็ต้องการเงินมากกว่าเเรงงาน ในปี พ.ศ.๒๔๓๙ รัฐบาลให้ทุกคนเสียค่าราชการคนละ  ๖ บาท เป็นมาตรฐานเดียวกับภาคกลาง ในขณะที่ภาคอีสาน เศรษฐกิจยังไม่เปลี่ยนเเปลงมากนัก  ดังนั้นจึงก่อเกิดปัญหาชาวนาในภาคอีสานประสบความยากลำบาก ในการหาเงินเสียค่าราชการ และยังสะท้อนให้เกิดการเคลื่อนย้ายเเรงงานของคนอีสานมายังภาคกลาง ปัจจัยดังกล่าวน่าจะมีผลกระทบต่อชาวกูยเพราะสอดคล้องกับผลการสำรวจของ เอเจียน เเอมอนิเย ที่กล่าวว่า ชนเผ่ากูยเป็นเผ่าที่ยากจนที่สุด  ไม่มีไร่นาจะเพาะปลูก เขามีเพียงไร่ผืนเล็กๆ กลางป่าเพื่อปลูกข้าว ต่อมาฝรั่งได้ขยายอำนาจสู่บริเวณอินโดจีน รัฐไทยมีนโยบายเพื่อความมั่นคง โดยเฉพาะชายแดนในอีสานตอนใต้ ที่มีชนชาติกูยได้ถูกผนวกเข้ากับรัฐไทยได้เปลี่ยนสัญชาติกูยเป็นไทย การสำรวจสำมะโนครัว หรือ หากมีราษฎรติดต่อราชการที่จะต้องใช้เเบบพิมพ์ทางราชการให้ปฎิบัติโดย กรอกในช่องสัญชาติว่าไทย บังคับห้ามมิให้ลง หรือเขียนในช่องสัญชาติว่า ชาติลาว ชาติเขมร ชาติส่วย (กูย) ผู้ไทย ดังที่เคยปฎิบัติมาแต่ก่อนเป็นอันขาด

แกลมอ

ภูมิปัญญาท้องถิ่น ความเชื่อ  พิธีกรรม “การรำแกลมอ”

               “กูย หรือ กวย” เป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมของ จ.สุรินทร์ ที่สืบเชื้อสายมาจากขอม ซึ่งมีความรู้ความสามารถในด้านวิชาคาถาอาคม มีอาชีพในการจับช้างและเลี้ยงช้างมานานหลายชั่วอายุคน ชอบอาศัยอยู่ในทำเลป่าดง คนเหล่านี้เป็นกลุ่มชาติพันธ์ที่จัดอยู่ในกลุ่มที่พูดภาษา ออสโตรเอเซียติก ซึ่งมีเฉพาะภาษาพูด แต่ไม่มีภาษาเขียน เรียกกันว่า ข่า ส่วย หรือ กวย ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอจอมพระ ท่าตูม ศีขรภูมิ และ อ.สังขะ จังหวัดสุรินทร์ส่วนหนึ่งอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ  บุรีรัมย์ อุบลราชธานี และบางหมู่บ้านของจังหวัดมหาสารคาม รวมทั้งจังหวัดนครราชสีมา ด้วยในปัจจุบันชนกลุ่มนี้ยังอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจาย ในพื้นที่ตอนเหนือของประเทศกัมพูชา และทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นกลุ่มที่รู้จักกันในนามของ ข่า ซึ่งมีวัฒนธรรมด้านภาษาอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับชาวกุย และภาษากุย หลายคำเมื่อรวมเข้ากับภาษาเขมร จะมีรากศัพท์ใกล้เคียงกับภาษาพูดของชาว ไทโส้ ที่อาศัยอยู่ในอำเภอกุสุมาลย์ จ.สกลนคร ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกลุ่มคนที่สืบทอดศิลปวัฒนธรรมประเพณี ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว

หนึ่งในความเชื่อของ ชาวกวยกูย คือ การแสดง แกลมอ ซึ่งเป็นการแสดงที่สืบเนื่องมาจากความเชื่อว่า ชาวกุยทุกคนจะมีดวงวิญญาณของบรรพบุรุษคอยปกป้องคุ้มครอง ปกปักรักษาอยู่ตลอดเวลา ในทุกๆ ปีชาวกุยจะจัดให้มีพิธีกรรมการแสดง “แกลมอ เพื่อบูชาดวงวิญญาณบรรพบุรุษและสิ่งสิทธิ์ เพื่อเป็นการเสริมสร้างกำลังใจ ตลอดถึงการรักษาผู้ป่วยไข้เช่นเดียวกับการ โจลมะม๊วด ของชาวเขมร หรือ โส้ทั่งบั้ง ของชาวไทโส้ ในอำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ซึ่งพิธีแกลมอ จะมีอยู่ 3 ประเภท คือ

 

1. การบูชาดวงวิญญาณบรรพบุรุษเพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ

2.              การประกอบพิธีกรรมเพื่อรักษาผู้ป่วยซึ่งเป็นการอัญเชิญดวงวิญญาณของบรรพบุรุษมาให้ความ      

    ช่วยเหลือ ขอคำแนะนำผ่านล่าม หรือ คนทรงเพื่อหาสาเหตุของการเจ็บป่วยและหาทางรักษาตาม

     ความเชื่อ

3.การประกอบพิธีกรรมเพื่อเป็นการแก้บน หรือ สักการะตอบแทนดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่ดลบันดาลให้ได้รับความสำเร็จตามคำขอของลูกหลาน

สรุปว่าการแสดง แกลมอ นี้ เป็นพิธีกรรมที่ส่งผลให้เกิดความร่มเย็น การอยู่เย็นเป็นสุขของคนในชุมชน โดยจะมีผู้นำประกอบพิธีกรรม หรือ แม่หมอ ทำหน้าที่ในการอัญเชิญดวงวิญญาณประทับร่าง มีนักดนตรีประมาณ 5-7 คน นางรำตามความเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีเครื่องบวงสรวง เซ่นสังเวย จำนวน 1 ชุด ประกอบด้วย เสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับ พานบายศรี ดอกไม้ธูปเทียน เงิน ทอง เหล้า บุหรี่ หมากพลู ชุดขัน 5  ดาบ 1 เล่ม ไข่ไก่ 1 ฟอง ข้าวสาร และเครื่องประกอบอื่นๆ แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละชุมชน

พิธีกรรมจะเริ่มต้นจากการอัญเชิญดวงวิญญาณบรรพบุรุษมาเข้าประทับร่างแม่หมอ หรือ คนทรง ร่างของแม่หมอจะสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง จากนั้นลูกหลานที่ร่วมพิธีจะผูกข้อมือให้แม่หมอ และแจ้งถึงความประสงค์ที่ได้อัญเชิญดวงวิญญาณของบรรพบุรุษมา เสร็จแล้วแม่หมอ หรือ คนทรงก็จะดื่มกินเครื่องซ่นสังเวย ก่อนที่จะลุกขึ้นฟ้อนรำไปรอบๆ เครื่องสักการะ ผู้ที่ร่วมอยู่ในพิธีก็จะมีอาการสั่นเทิ้มไปตามๆ กัน คนที่อยู่ใกล้ก็จะผูกข้อมือรับและผู้ที่มีอาการดังกล่าวก็จะลุกขึ้นฟ้อนรำไปรอบๆ เครื่องสักการะ เช่นเดียวกับแม่หมออย่างสนุกสนาน กินเวลาข้ามวันข้ามคืนเช่นเดียวกับพิธี “โจลมะม๊วด” ของ   

ชาวเขมร นั่นเอง

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

กลุ่มสนทนาภาษาส่วย/กวย/กูย

เรียนเชิญแซมซายพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทักทาย หรือสนทนาภาษาแต่และท้องที่ แต่ละสำเนียงได้ที่กลุ่มนี้


https://m.facebook.com/groups/257299467790206?ref=bookmarks